PRP แก้ปัญหาผมร่วง ผมบาง ฟื้นฟูรากผม

บริการ PRP หรือ Platelet Rich Plasma อีกหนึ่งนวัตกรรมของการรักษาผมบาง ผมร่วง หัวล้าน โดยไม่ต้องทำการผ่าตัด โดยขั้นตอนของการรักษาจะเป็นประเภทของการกระตุ้นเซลล์รากผมให้มีความแข็งแรงและทำให้ผมของผู้เข้ารับบริการมีความหนาแน่นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หลาย ๆ คนอาจยังไม่ทราบว่าเจ้าหัตถการตัวนี้มีวิธีการอย่างไร และสามารถช่วยรักษาปัญหาเส้นผมและหนังศีรษะได้จริงหรือเปล่า ดังนั้น เราจะมาดูไปพร้อม ๆ กันว่ามีรายละเอียดอย่างไรบ้าง

บริการ PRP คืออะไร เหมาะกับใคร ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง?

การทำ PRP (Platelet Rich Plasma) หรือ Hair Therapy เป็นการซ่อมแซมเซลล์รากผมที่อ่อนแอ ให้กลับแข็งแรงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการทำ PRP นี้ถือเป็นการปลูกผมในรูปแบบหนึ่ง กับคนไข้ที่มีภาวะปัญหาผมบาง และหลุดร่วงง่ายแต่จะไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้กับบริเวณที่ไม่มีผมขึ้นมาเลย หรือไม่สามารถแก้ไขปัญหาหัวล้านได้นั่นเอง

PRP คืออะไรหลายคนสงสัยเรามีคำตอบ

คือ เกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นกว่าเกล็ดเลือดในกระแสโลหิตทั่วไป 3–4 เท่า โดยเป็นเกล็ดเลือดเข้มข้นที่เหมาะสมในการใช้ในการรักษา การนำเลือดไปปั่นเพื่อให้เลือดเกิดการแยกชั้นแล้วเอาเฉพาะส่วนที่เป็น Plasma สีเหลืองนำกลับไปฉีดเข้าร่างกายใหม่ซึ่งใน PRP นี้ มี Growth Factor คือโปรตีนหรือไกลโครโปรตีน ทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์

โดย PRP แพทย์จะทำการฉีดไปบริเวณส่วนที่ต้องการการฟื้นฟู และยังช่วยกระตุ้นเซลล์รากผมที่หยุดทำงาน ให้กลับมาสร้างเส้นผมได้พร้อมบำรุงให้เกิดความแข็งแรง ผลลัพธ์ที่ออกมาจะสามารถเห็นความหนาแน่นของเส้นผมเพิ่มขึ้นได้ด้วยตาเปล่า นอกจากนี้ PRP ยังเป็นวิธีที่ปลอดภัย ไร้สารเคมี ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำ นับว่าเป็นทางเลือกในการรักษาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และสามารถทำควบคู่กับการปลูกผม FUE/DHI/NHI ฯลฯ ได้อีกด้วย โดยPRP จะประกอบไปด้วยสารต่างๆ ที่ช่วยการแข็งตัวของเลือด ช่วยสร้างและส่งเสริมการสร้างเส้นเลือด กระตุ้นการเจริญเติบโตและการแบ่งของเซลล์ผิวหนัง กระดูก คอลลาเจน ช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้นด้วยนั่นเอง

PRP ผม เหมาะกับใครบ้าง

จากที่ได้กล่าวไปข้างต้น ว่า PRP จะเป็นหัตถการที่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะผมร่วง ผมบาง มากกว่าผู้ที่มีภาวะศีรษะล้าน เพราะเป็นการกระตุ้นและฉีดบำรุงให้เซลล์รากผมมีความแข็งแรงแรงมากขึ้น ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ผู้เข้ารับบริการต้องมีเส้นผมหลงเหลืออยู่บ้างนั่นเอง ทั้งนี้ PRP จะไม่เหมาะกับผู้ที่ทานยาต้านเกล็ดเลือด หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อย่าง โรคโลหิตจาง ความดัน เพราะเลือดอาจไม่สมบูรณ์พอที่จะนำมาใช้ในการรักษาได้

ขั้นตอนการทำ PRP

สำหรับขั้นตอนการทำ PRP นั้นจะไม่มีการผ่าตัดใด ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการฉีดบริเวณหนังศีรษะจึงจะมีความปลอดภัยมาก ซึ่งขั้นตอนของการทำ PRP สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้

  • ผู้เข้ารับบริการเข้าเจาะเลือดจากแขนประมาณ 20-30มล.
  • แพทย์ทำการเติมสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด แล้วนำไปปั่นแยก
  • เอาส่วน PRP ออกมา แล้วฉีดกลับเข้าหนังศีรษะ
  • แพทย์ทำการฉีดไปบริเวณส่วนที่ต้องการการฟื้นฟู เพื่อช่วยกระตุ้นเซลล์รากผมที่หยุดทำงาน ให้กลับมาสร้างเส้นผมได้พร้อมบำรุงให้เกิดความแข็งแรง

ข้อดีของ PRP ที่ใคร ๆ ก็อยากทำ

แม้จะเป็นเพียงหัตถการเล็ก ๆ แต่ทุกคนอาจนึกไม่ถึงว่า PRP นั้นมีข้อดีมากมาย เช่น…

  1. สามารถคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว เพราะสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  2. ช่วยปรับสมดุลการสร้างเม็ดสีผิว ทำให้ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำต่างๆ ลดเลือนลง
  3. สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้กลับขึ้นมาแข็งแรงได้อีกครั้ง จึงทำให้ช่วยลดปัญหารอยเหี่ยวย่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. คืนความกระชับให้กับใบหน้า ทำให้ใบหน้าเรียบเนียนสวย เต่งตึง
  5. สามารถลดอาการอักเสบของผิวได้ ทำให้ผิวกลับมาแข็งแรงขึ้นได้
  6. ช่วยซ่อมแซมผิวเสียที่ถูกทำลายจากมลภาวะ ทั้งแสงแดด ความร้อน ฝุ่นละออง รวมทั้งความเครียด
  7. ช่วยรักษาผิวใบหน้า คืนความชุ่มชื่นให้กับผิว ประหนึ่งผิวสาวดุจแรกแย้ม
  8. ทำให้ใบหน้ากระจ่างใสขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  9. ช่วยปรับรูขุมขนของผิวหน้าให้กระชับมากขึ้น จึงทำให้ผิวทั้งเรียบและเนียน มีน้ำมีนวล
  10. ช่วยเติมออกซิเจนให้ผิว ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตบนใบหน้าดีขึ้นกว่าเดิม
  11. เมื่อ PRP ถูกฉีดเข้าที่หนังศีรษะ จะทำให้หนังศีรษะกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง

ข้อจำกัดของ PRP ที่ควรรู้

เมื่อมีข้อดี แน่นอนว่าก็ต้องมีข้อจำกัดที่ตามมา ซึ่งข้อจำการของการทำ PRP ที่ผู้เข้ารับบริการควรรู้ ประกอบด้วย…

  1. ไม่เหมาะกับผู้ที่รับประทานยาต้านเกล็ดเลือด หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อย่าง โรคโลหิตจาง ความดัน
  2. ต้องทำการเจาะจากแขนเพื่อเก็บเลือด
  3. หากหลังเข้ารับบริการได้รับการดูแลที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้หนังศีรษะหลุดลอกเป็นสะเก็ด

อย่างไรก็ตาม ทุกคนอาจเห็นได้แล้วว่าการรักษาแบบ PRP มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นก่อนเข้ารับการรักษาควรศึกษาและพิจารณาเลือกให้รอบคอบ ทั้งนี้ หากไม่แน่ใจให้เข้ารับคำแนะนำจากแพทย์จะดีที่สุด

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ PRP

เนื่องจากการบริการแบบ PRP นั้นต้องมีการสกัดเลือดออกมาเพื่อใช้กระตุ้นรากผมให้แข็งแรง ซึ่งเป็นกระบวนการฟื้นฟูและซ่อมแซมที่สำคัญ ดังนั้น ก่อนเข้ารับบริการ ผู้เข้ารับการรักษาจำเป็นต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม (2 ลิตร/วัน) รวมถึงงดการดื่มแอลกอฮอล์ งดบุหรี่ เพื่อป้องกันภาวะเลือดหนืดจนเกินไปเพราะจะทำให้ไม่สามารถนำเกล็ดเลือดมาใช้ได้ ทั้งนี้ ควรสระผม และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ปรับแต่งทรงผมต่าง ๆ ก่อนเข้ารับบริการด้วย

เตรียมตัวก่อนทำ prp

การดูแลตนเองหลังเข้ารับบริการ PRP

สำหรับเบื้องต้น ผู้เข้ารับการรักษาควรเลี่ยงการโดนน้ำ 1 วันหลังเข้ารับบริการ และยังคงต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ปรับแต่งทรงผมต่าง ๆ ก่อนในช่วงแรก ทั้งนี้ จะต้องเลือกใช้แชมพูชนิดอ่อน ๆ ในช่วงสัปดาห์แรกของการรักษา ในขณะสระผมไม่ควรขยี้หรือเกาหนังศีรษะแรง ๆ แม้จะไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงแบบการผ่าตัด แต่ก็ไม่ควรมีพฤติกรรมเสี่ยงไปกระตุ้นให้เกิดผลเสียต่อหนังศีรษะ เพียงผู้รับการรักษาดูแลตัวเองได้ดีก็จะช่วยให้ผลการรักษาดียิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดได้เช่นกัน

PRP ผม ควรทำกี่ครั้ง จึงจะเห็นผล?

โดยทั่วไปแล้วการทำ PRP จะทำ 3-10 ครั้ง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความยากง่ายและความรุนแรงของอาการของผู้เข้ารับการรักษาด้วย และเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ควรพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง 2-3 เดือนเพราะจะส่งผลให้ผลของการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั่นเอง