ปลูกผมถาวร – ผู้ชาย

ปลูกผมผู้ชาย

ปลูกผมผู้ชาย บริการที่ตอบโจทย์สำหรับคุณผู้ชายทุก ๆ คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับหนังศีรษะและเส้นผมไม่ว่าจะเป็นหัวล้าน หรือ ผมบาง อย่างไรก็ตาม เทคนิคการปลูกผมนั้น บางท่านอาจรู้จักเพียง 2-3 เทคนิค แต่ในปัจจุบันการปลูกผมได้ถูกแตกแขนงออกมาได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะที่ The Prime Medical Center ของเราที่มีแนวทางการรักษาให้เลือกได้อย่างครบวงจร ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น ตามมาดูไปพร้อม ๆ กัน

ปลูกผมผู้ชาย | บริการปลูกผมถาวร

แม้ภาวะผมร่วงจะเกิดขึ้นมากในบรรดาผู้หญิง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นกับผู้ชายเลย รวมถึงปัญหาอื่น ๆ ข้างต้น เช่น ศีรษะล้าน, ผมบาง ที่ดูแล้วจะมีแนวโน้มที่ในผู้ชายจะมีภาวะรุนแรงกว่าผู้หญิงเสียอีก อย่างไรก็ตาม ถึงปัญหาที่คุณผู้ชายหลายคนต้องพบเจอจะมีมากมาย แต่วิธีแก้ไขปัญหาก็มีอย่างมากมายเช่นกัน ซึ่งก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกับ 7 วิธีปลูกผมสำหรับผู้เชายนั้น เรามาทำความรู้จักกับแนวทางการรักษาด้วย “การปลูกผม” กันก่อน

รู้หรือไม่! ผู้ชาย หัวล้านง่าย กว่าผู้หญิง

จากที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ว่าแม้ผู้หญิงส่วนใหญ่จะนิยมไว้ผมยาวหรือทำการเสริมความงามกับเส้นผมของพวกเธอออยู่บ่อยครั้งจนทำให้เกิดปัญหาผมร่วง แต่คุณผู้ชายทราบหรือไม่ว่าปัญหาหนังศีรษะและเส้นผมกลับมีภาวะรุนแรงในเพศชายมากกว่าเสียอีก โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ชายเกิดภาวะผมร่วง ผมบาง เสี่ยงหัวล้านมากกว่าผู้หญิงนั้น มาจากฮอร์โมนและพันธุกรรมที่เรียกว่า เทสโทสเตอโรน (และในบางกรณีก็มาจากพันธุกรรมจากครอบครัว) ที่ทำปฏิกิริยากับเซลล์รากผมจนทำให้ฝ่อ ไม่แข็งแรง ไม่สามารถกลับมาขึ้นได้อีก และกลายเป็นปัญหาดังกล่าวในที่สุด ดังนั้น การปลูกผม จึงเป็นทางแก้ที่หลาย ๆ คนควรเลือก

การปลูกผม คืออะไร?

การปลูกผม หรือ Hair Transplantation เป็นหัตถการที่อยู่ในกลุ่มศัลยกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาศีรษะในด้านต่าง ๆ เช่น ปัญหาศีรษะล้าน ผมร่วง ผมบาง เป็นต้น ซึ่งการปลูกผมนั้นสามารถแบ่งออกได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด และ การไม่ผ่าตัด เช่น การทำ Treatment, การให้ยา วิตามิน และ อาหารเสริม ซึ่งผู้ที่เข้ารับการรักษาก็จะได้รับวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไปตามการวินิจฉัยและดุลยพินิจของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญนั่นเอง

ใครบ้างที่เหมาะกับการปลูกผม?

สำหรับการปลูกผมนั้น มักจะมีภาพจำเกี่ยวกับการเป็นวิธีรักษาผู้ที่ประสบปัญหาหัวล้าน ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นวิธีที่เพิ่มความมั่นใจและปรับปรุงบุคลิกภาพ และถือเป็นการศัลยกรรมความงามชนิดหนึ่ง

โดยผู้ที่เข้ารับการปลูกผมควรเป็นผู้มีคุณสมบัติดังนี้…

ปัญหาหัวล้านแบบผู้ชาย (หัวล้านกลางศีรษะ)

สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้คุณผู้ชายหลาย ๆ คนต้องพบกับปัญหาศีรษะล้านก็คือ กรรมพันธุ์ที่ถูกส่งต่อมาจากคนในครอบครัว ซึ่งอาจมีมาตั้งแต่รุ่นคุณทวด คุณปู่ คุณตา มาเรื่อย ๆ จนมาถึงรุ่นของเราเอง ซึ่งหากคุณผู้ชายท่านใดที่มากรรมพันธุ์นี้อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และต้องมาผสมโรงกับปัญหาจากฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญอีกตัวหนึ่งของเพศชายที่มีฤทธิ์ฮอร์โมนเพศชายที่ค่อนข้างแรง ส่งผลให้เส้นผมของคุณผู้ชายหลาย ๆ ท่านมีระยะของการเจริญเติบโตผิดปกติ และทำให้รากผมและต่อมผมฝ่อลงตามไปด้วย จนกลายเป็นภาวะศีรษะล้านตามที่เห็นกันนั่นเอง

ปัญหาผมบาง

อาการผมร่วง ผมบาง เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยหนึ่งในสาเหตุที่หลายคนมองข้ามก็คือ พฤติกรรมที่ทำในชีวิตประจำวัน ซึ่งบางพฤติกรรมดูเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทำกันอยู่ทุกวัน และพฤติกรรมเหล่านี้นี่เองที่ทำให้เกิดปัญหาเส้นผมร่วงมากกว่าปกติ เช่น อุณหภูมิที่ใช้สระผมไม่เหมาะสม, สระผมบ่อยเกิน, นอนดึก, รุนแรงกับเส้นผม เช่น มัดตึง ดึง รั้งเกินไป ฯลฯ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นเพียงสาเหตุเบื้องต้นเท่านั้น

เทคนิคปลูกผมสำหรับชายผู้มีภาวะหัวล้าน ผมบาง ผมร่วง

สำหรับการปลูกผมที่กำลังจะกล่าวต่อไปนี้ คือเทคนิคที่อิงมาจากสาเหตุของการเกิดภาวะผิดปกติดังกล่าวในกลุ่มคุณผู้ชายที่มีปัญหาทั้งศีรษะล้าน และ ผมร่วง ผมบาง ซึ่งจะมีแนวทางที่ต่างกันออกไป โดยสามารถรวมได้หลัก ๆ 7 วิธีด้วยกัน ดังนี้…

สำหรับเคสผู้ประสบปัญหาหัวล้าน

สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 วิธีหลัก ๆ คือ

1.เทคนิค FUE

การปลูกผมแบบ FUE เป็นการศัลยกรรมอย่างหนึ่ง ด้วยการย้ายเซลล์รากผมบริเวณท้ายทอยไปปลูกถ่ายยังบริเวณที่ต้องการเทคนิคนี้เป็นเทคนิคไร้แผลเย็บ ไม่ต้องนอนค้างที่โรงพยาบาล ที่สำคัญคือไม่ทิ้งรอยแผลเป็น เนื่องจากเทคนิคนี้จะใช้อุปกรณ์ในการเจาะที่มีขนาดเล็กมากแล้วนำเซลล์รากผมออกมาปลูกถ่าย เพื่อให้ได้แนวไรผมที่ต้องการ เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังจากที่ทำเสร็จ ใช้ระยเะเวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟที่นำมาปลูกถ่าย วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้าน ที่ไม่ต้องการใช้เวลาในการพักฟื้นเป็นอย่างมาก เทคนิคนี้จะเห็นถึงความหนาแน่นของเส้นผมที่เกิดขึ้นมาใหม่ โดยทั่วไปใช้เวลาเห็นผลลัพธ์เต็มที่ประมาณ 6-10 เดือน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองการรักษาของแต่ละเคสเทคนิค

ขั้นตอนการปลูกผมด้วยเทคนิค FUE

  • เจาะ ดึงกราฟด้วยหัวเข็มขนาด 1 mm ขึ้นไป ทำให้มีบาดแผลด้านหลัง
  • เจาะศีรษะเพื่อนำกราฟลงไปปลูกผม
  • ใช้อุปกรณ์ Forcep ในการปลูกผม
  • เก็บกราฟได้ไม่เกิน 3,000-3,500 กราฟ
  • ผู้เข้ารับบริการอยู่ในช่วงพักฟื้น
  • ใช้ระยะเวลาในการปลูก 6- 8 ชั่วโมง
รูปก่อน-หลัง การปลูกผม
รูปก่อน-หลัง การปลูกผมแบบ FUE

2.Advanced- FUE

การปลูกผมแบบ Advanced-FUE เป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้นจากเทคนิค FUE เดิม ที่ใช้อุปกรณ์ในการเจาะที่มีขนาดเล็กกว่ามาก ขั้นตอนที่ทำเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาคือความหนาแน่นที่มากกว่า ได้แนวไรผมที่ชิดมากกว่า เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังจากทำเสร็จ ส่วนระยะเวลาที่ใช้นั้นจะมากกว่าแบบ FUE ประมาณ 1-2 ชั่วโมง เทคนิคนี้ใช้ทักษะที่สูงกว่า และขั้นตอนที่ซับซ้อนขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ความหนาแน่นมากขึ้น ที่สำคัญยังคงไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นมากเช่นกัน เทคนิคนี้จะได้ความหนาแน่นแบบ Hi Density เรียกได้ว่าเห็นความแตกต่างจากเทคนิค FUE ได้อย่างชัดเจน ใช้เวลาในการเห็นผลลัพธ์ประมาณ 6-10 เดือน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองการรักษาของแต่ละเคส

ขั้นตอนการปลูกผมด้วยเทคนิค Advanced-FUE

  • เจาะ ดึงกราฟด้วยหัวเข็มขนาด 1 mm ขึ้นไป ทำให้มีบาดแผลด้านหลัง
  • เจาะศีรษะเพื่อนำกราฟลงไปปลูกผม
  • ใช้อุปกรณ์พิเศษในการปลูกผมซึ่งจะใช้อุปกรณ์ในการเจาะที่มีขนาดเล็กกว่าเทคนิค FUE เดิมมาก
  • เก็บกราฟได้ไม่เกิน 3,000-3,500 กราฟ
  • ผู้เข้ารับบริการอยู่ในช่วงพักฟื้นซึ่งใช้เวลาไม่นาน
  • ใช้ระยะเวลาในการปลูก 6- 8 ชั่วโมง
รูปก่อน-หลัง การปลูกผม
รูปก่อน-หลัง การปลูกผมแบบ Advanced-FUE

3.เทคนิค DHI (Direct Hair Implantation)

การปลูกผมแบบ DHI เป็นวิธีการปลูกผมที่ได้รับความนิยมสูงในขณะนี้ โดยแพทย์จะใช้กราฟ หรือกอผม 1-4 เส้นบริเวณท้ายทอย โดยใช้เครื่องมือ DHI Implanter กราฟในการดึงออกมาจากท้ายทอยและกราฟที่ปักออกไปสามารถทำได้ในครั้งเดียว ไม่ต้องเสียเวลาทำแยกสองขั้นตอนเหมือนวิธี FUE ส่งผลให้ลดปัญหารากผม และเซลล์รากผมเกิดความเสียหายระหว่างปลูกผมได้เป็นอย่างดีรวมถึงผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ดูกลมกลืนไปทั้งศีรษะ เนื่องจากเครื่องมือดังกล่าวจะสามารถควบคุมทิศทาง ความลึก และมุมองศาในการปลูกได้แม่นยำ โดยทั่วไปอาจจะใช้เทคนิคนี้ร่วมกับการปลูกผมแบบ FUE Advance เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม และเหมาะกับแต่ละบุคคลได้อย่างดี เทคนิคนี้จะได้ความหนาแน่นแบบ Hi Density โดยที่ได้เรื่องแนวไรผมที่สวยงาม เน้นความเป็นธรรมชาติ และมาตรฐานที่สูงขึ้น

ขั้นตอนการปลูกผมด้วยเทคนิค DHI

  • เจาะ ดึงกราฟด้วยหัวเจาะพิเศษ
  • แผลหายเร็ว ไม่ระบม
  • ปลูกผมด้วยเครื่องมือพิเศษเฉพาะทาง
  • ใช้ Implanter ในการปลูกผม
  • ลดอาการบอบช้ำของกราฟ และเพิ่มความอยู่รอดให้กับ 10-15 %
  • ผู้เข้ารับบริการอยู่ในช่วงพักฟื้น ซึ่งจะพักฟื้นน้อยกว่าเทคนิค FUE
  • ระยะเวลาในการปลูกเร็วกว่า
รูปก่อน-หลัง การปลูกผม
รูปก่อน-หลัง การปลูกผมแบบ DHI

4.เทคนิค NHI (Navamin Hair Implant)

การปลูกผมแบบ NHI เป็นเทคนิคเดียวในประเทศ ที่เป็นวิธีการเฉพาะของโรงพยาบาลนวมินทร์ 9 ที่ได้รับมาตรฐานจากองค์กรระดับโลก JCI โดยเทคนิคนี้จะคล้ายคลึงกับการปลูกผมแบบ DHI แต่จะใช้เทคนิคการเจาะ และการปลูกถ่ายจากประเทศเกาหลี รวมถึงเครื่องมือ Implanter ระดับ Hi-End ซึ่งนอกจากจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในแง่ของ เซลล์รากผมที่ไม่บอบช้ำ มีอัตราการรอดหลังการปลูกถ่ายสูงที่สุด ยังได้ในส่วนของการดูแลหลังการปลูกที่ง่ายกว่า แผลหายเร็วกว่ารวมถึงผลลัพธ์ที่แน่นอนกว่าแบบเห็นได้ชัดเจน เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ปราณีตที่สุด ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดูแลง่ายที่สุด และมีมาตรฐานสูงที่สุดในบรรดาการปลูกด้วยเทคนิคอื่น ๆ โดยแพทย์ที่ทำการปลูกผมด้วยเทคนิคนี้ จะต้องมีความเข้าใจในความเป็นธรรมชาติของแนวไรผมของคนไข้ และการวาดแนวกรอบหน้าให้เหมาะสม และใส่ใจในทุก ๆ ขั้นตอนการปลูกทุกรายละเอียดอย่างแท้จริง เทคนิคนี้จะได้ความหนาแน่นแบบ Ultra Hi Density ได้แนวไรผมที่สวยงามมากที่สุด เป็นธรรมชาติมากที่สุด และได้มาตรฐานที่สูงที่สุดอีกด้วย

ขั้นตอนการปลูกผมด้วยเทคนิค NHI

  • เจาะ ดึงกราฟด้วยหัวเจาะพิเศษ
  • ปลูกผมด้วยเครื่องมือพิเศษเฉพาะทาง โดยใช้ Implanter ระดับ Hi-End ในการปลูกผม เพื่อลดอาการบอบช้ำให้กับเซลล์รากผม
  • ผู้เข้ารับบริการอยู่ในช่วงพักฟื้น แผลหายเร็ว ไม่ระบม
  • ระยะเวลาในการปลูกจะใช้เวลานานกว่าเทคนิคอื่นเล็กน้อย เนื่องจากต้องใช้ความปราณีตในการวางแนวไรผม
รูปก่อน-หลัง การปลูกผม
รูปก่อน-หลัง การปลูกผมแบบ NHI

สำหรับเคสผู้ประสบปัญหาผมบาง

แบ่งออกได้อีก 3 วิธีหลัก ๆ คือ

1.การกระตุ้นเซลล์รากผมด้วย PRP

การทำ PRP (Platelet Rich Plasma) หรือ Hair Therapy เป็นการซ่อมแซมเซลล์รากผมที่อ่อนแอ ให้กลับแข็งแรงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการทำ PRP นี้ถือเป็นการปลูกผมในรูปแบบหนึ่ง กับคนไข้ที่มีภาวะปัญหาผมบาง และหลุดร่วงง่ายแต่จะไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้กับบริเวณที่ไม่มีผมขึ้นมาเลย หรือไม่สามารถแก้ไขปัญหาหัวล้านได้นั่นเอง โดย PRP แพทย์จะทำการฉีดไปบริเวณส่วนที่ต้องการการฟื้นฟู และยังช่วยกระตุ้นเซลล์รากผมที่หยุดทำงาน ให้กลับมาสร้างเส้นผมได้พร้อมบำรุงให้เกิดความแข็งแรง ผลลัพธ์ที่ออกมาจะสามารถเห็นความหนาแน่นของเส้นผมเพิ่มขึ้นได้ด้วยตาเปล่า นอกจากนี้ PRP ยังเป็นวิธีที่ปลอดภัย ไร้สารเคมี ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้งพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำ นับว่าเป็นทางเลือกในการรักษาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และสามารถทำควบคู่กับการปลูกผม FUE/DHI/NHI ฯลฯ ได้อีกด้วย

2.การกระตุ้นเซลล์รากผมด้วย MESO Hair

การทำ MESO Hair เป็นการผลักตัวยา และวิตามินเข้าบำรุงเซลล์รากผม เหมาะกับผู้ที่มีภาวะผมบางหลุดร่วง ส่วนมากเกิดจากความเครียด, การเจ็บป่วย, การดัดย้อมด้วยเคมีที่รุนแรง เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ซึ่ง MESO Hair เป็นตัวช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนของโลหิตบริเวณหนังศีรษะ ทำให้เซลล์รากผมได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ เสริมสร้างการเกิดใหม่ของเส้นผมและชะลอการหลุดร่วงให้เส้นผมมีอายุยืนยาวมากขึ้น ระยะเวลาในการทำสองสัปดาห์ต่อครั้ง และส่วนมากจะเริ่มเห็นผลในเดือนที่ 2-3 เป็นต้นไป

3.การกระตุ้นเซลล์รากผมด้วย โปรตีนขนาดเล็ก Exosome

วิธีนี้เป็นเทคโนโลยีการรักษาที่ใช้องค์ประกอบของโปรตีน ที่มีขนาดเล็กมาก ๆ มีเส้นผ่าศูนย์กลางของโปรตีนประมาณ 30-100 นาโนเมตร หรือมีขนาดที่เล็กกว่าเซลล์ในร่างกายเราถึง 1/1,000 เท่า ใน Exosome จะประกอบไปด้วยสารชีวโมเลเกุลมากมาย อาทิเช่น Cytokines, Growth factors, Micro RNA ฯลฯ ที่มากกว่า PRP 1,000 เท่าตัว ทำให้เกิดการกระตุ้น ฟื้นฟู และมีการซ่อมแซมเซลล์รากผมได้อย่างดีเยี่ยม

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษาสำหรับผู้มีภาวะหัวล้าน ผมร่วง และผมบางเท่านั้น โดยยังมีอีกหลายหลายวิธีด้วยกัน ขึ้นอยู่กับ อาการ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและประเมิน เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งอาจจะเป็น 7 เทคนิคนี้ หรือ วิธีอื่น ๆ ก็เป็นได้ เช่น ยา วิตามิน อาหารเสริม สเปรย์ เซชั่น แชมพู ฉายแสง การฉีดตัวยาอื่น ๆ หรือทรีตเม้นท์อื่น ๆ ด้วย เป็นต้น

ก่อนปลูกผม ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?

สำหรับการเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการปลูกผมหรือรักษาหนังศีรษะ ผู้เข้ารับบริการสามารถทำตามขั้นตอนง่าย ๆ ได้ดังนี้

  • งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการปลูกผม เนื่องจากการสูบบุหรี่จะไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือดไปยังผิวหนัง และทำให้แผลจากการปลูกผมหายช้าลง
  • หยุดการรับประทานยา อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนการปลูกผม โดยเฉพาะวิตามินหรือยารักษาอาการบางชนิด เพราะยาอาจส่งผลกระทบต่อการรักษาได้ โดยเฉพาะกลุ่ม ASPIRIN หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เพราะจะทำให้เลือดหยุดไหลได้ยาก
  • งดออกกำลังกาย 3 – 4 วัน เพื่อไม่ให้หลอดเลือดขยายตัว เพราะจะส่งผลต่อรอยแผล
  • ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการปลูกผม เพื่อป้องกันหลอดเลือดขยายตัว เพราะจะทำให้เลือดออกมากกว่าปกติ
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6 ชม. เพื่อให้เซลล์ผมแข็งแรง และทำงานได้เต็มที่
  • สระผมให้สะอาดและหลีกเลี่ยงการจัดแต่งทรงผม ในวันที่มีการปลูกผม
  • ใส่เสื้อผ้าที่มีกระดุมด้านหน้า เพื่อลดการสัมผัสเวลาถอด หรือสวมใส่ ในวันที่มีการปลูกผม
  • รับประทานอาหารเช้าได้ตามปกติ งดชากาแฟในตอนเช้า ในวันที่มีการปลูกผม
  • แนะนำให้มีญาติมารับกลับหลังผ่าตัด รวมถึงเตรียมตัวพบแพทย์เพื่อดูและติดตามอาการรวมถึงนัดเปิดแผลเพื่อทำความสะอาดแผลใน 1-3 วันแรกหลังการปลูกผม

การดูแลตัวเองหลังการปลูกผม

หลังการเข้ารับบริการแล้ว อีกสิ่งที่สำคัญคือการดูแลตนเองของคนไข้ที่ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์อย่างถูกต้องและทำตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งการดูแลตนเองเบื้องต้นประกอบด้วย

  • งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 วัน ถึง 1 เดือนหลังการปลูกผม เนื่องจากการสูบบุหรี่จะไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือดไปยังผิวหนัง และทำให้แผลจากการปลูกผมหายช้าลง
  • ปิดผ้าพันแผลที่บริเวณหนังศีรษะอย่างน้อย 1-2 วัน และระวังไม่ให้ศีรษะกระทบ กระแทกสิ่งของ
  • งดตากแดด หรือโดนแสงแดดเป็นเวลานาน เนื่องจากรังสียูวีจะส่งผลต่อการเติบโตของเส้นผม รวมถึงห้ามอยู่ในที่อากาศร้อนเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่เสี่ยงติดเชื้อ
  • งดออกกำลังกาย ยกของหนัก หรือก้มหยิบของ อย่างน้อย 7 วัน
  • งดว่ายน้ำ และอบซาวน่า หรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดเหงื่อ เป็นเวลา 1 เดือน เพื่อป้องกันการติดเชื้อบริเวณที่ปลูกผม
  • งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด อย่างน้อย 2 วัน ถึง 1 สัปดาห์หลังการปลูกผม เพราะแอลกอฮอล์จะไปกระตุ้นหลอดเลือดให้ขยายตัว ส่งผลให้เลือดไหลออกได้ง่ายขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการแกะเกาหนังศีรษะ และสะเก็ดแผล เพราะอาจทำให้เลือดออก หรือแผลติดเชื้อ
  • รักษาความสะอาดของแผลรวมถึงหนังศีรษะบริเวณอื่นๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยการล้างแผลและสระผมมีขั้นตอนค่อนข้างละเอียดเพื่อป้องกันกราฟท์​ผมหลุดออก โดยสามารถสระผมได้ตามปกติหลังปลูกผม 1 เดือน และสามารถใช้เจล หรือมูสแต่งผมได้หลังปลูกผมประมาณ 1 สัปดาห์ แต่ต้องระวังอย่างให้ถูกแผลปลูกผม รวมถึงสามารถทำสีผมได้หลังปลูกผม 1 เดือน (หากต้องการทำสีผมก่อนการปลูกผม ควรทำสีผมอย่างน้อย 2 วันก่อนปลูกผม)
  • นอนยกศีรษะให้สูงขึ้น ประมาณ 45 องศา อย่างน้อย 3 วัน เพื่อลดแรงดันที่อาจทำให้รากผมหลุดร่วงออกมาได้ รวมถึงนอนในท่าที่ไม่กระทบแผลปลูกผม และ
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนการทานยาและอาหารเสริม เนื่องจากยาหรืออาหารเสริมบางตัวอาจจะมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อาจส่งผลให้เกิดอาการเลือดออกบริเวณแผลได้ และอาจจะทำให้รากผมหลุดได้

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษาสำหรับผู้มีภาวะหัวล้าน ผมร่วง และผมบางเท่านั้น โดยยังมีอีกหลายหลายวิธีด้วยกัน ขึ้นอยู่กับ อาการ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและประเมิน เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งอาจจะเป็น 7 เทคนิคนี้ หรือ วิธีอื่น ๆ ก็เป็นได้ เช่น ยา วิตามิน อาหารเสริม สเปรย์ เซชั่น แชมพู ฉายแสง การฉีดตัวยาอื่น ๆ หรือทรีตเม้นท์อื่น ๆ ด้วย เป็นต้น