ปลูกผม FUE VS ปลูกผม FUT ต่างกันยังไง แบบไหนดีกว่ากัน?

ปลูกผม FUE อีกหนึ่งเทคนิคที่มีชื่อเสียงและค่อนข้างเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาหัวล้าน ผมบาง ผมร่วง เพราะถือเป็นเทคนิคพื้นฐานที่เหมาะกับผู้ประสบปัญหาหลาย ๆ คน อย่างไรก็ตาม นอกจากเทคนิคแบบ FUE แล้วก็มีอกหนึ่งเทคนิคที่ตีคู่กันมาเช่นเดียวกันนั่นคือการปลูกผมด้วยเทคนิค FUT ซึ่งทั้ง 2 เทคนิคนี้ แม้จะเป็นวิธีทางศัลยกรรมการปลูกผมถาวรเหมือนกัน แต่ก็มีข้อแตกต่างกันอยู่ ซึ่งอาจรวมไปถึงกลุ่มผู้เข้ารับบริการแบบเฉพาะวิธีด้วย ซึ่งจะมีรายละเอียดอย่างไร Vital Glow Clinic มีคำตอบ

ปลูกผม FUE VS ปลูกผม FUT ต่างกันยังไง แบบไหนดีกว่ากัน?

ปลูกผม FUE คืออะไร ต่างจากเทคนิค FUT อย่างไร แบบไหนดีกว่ากัน?

จากที่ได้กล่าวไปว่าในปัจจุบันเทคนิคที่นิยมใช้ ปลูกผม หรือปลูกผมถาวรจะมีกันอยู่สองแบบ นั่นก็คือวิธี FUE และ FUT โดยทั้งสองแบบจะมีจุดประสงค์เพื่อย้ายรากผมจากบริเวณเหนือกกหูและด้านหลังศีรษะ (Donor Area) มาปลูกในบริเวณที่ผมบางแทน ซึ่งภายในเวลา 12-18 เดือนเส้นผมก็จะงอกขึ้นใหม่เต็มที่และเป็นธรรมชาติโดยไม่ร่วงอีก เพราะรากผมจากเหนือกกหูและด้านหลังศีรษะนั้นมีความแข็งแรงและไม่ได้ถูกฮอร์โมนที่ชื่อว่า DHT (ตัวการที่ทำให้ผมร่วง) ทำร้ายด้วย

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะไปทราบว่าการปลูกผมทั้ง 2 เทคนิคนี้ต่างกันอย่างไร เรามาทำความรู้จักวิธีการและขั้นตอนการปลูกผมของทั้ง 2 วิธีนี้กันก่อน

การปลูกผมเทคนิค FUE (Follicular Unit Extraction) คือ…

การปลูกผมแบบ FUE เป็นการศัลยกรรมอย่างหนึ่ง ด้วยการย้ายเซลล์รากผมบริเวณท้ายทอยไปปลูกถ่ายยังบริเวณที่ต้องการ เทคนิคนี้เป็นเทคนิคไร้แผลเย็บ ไม่ต้องนอนค้างที่โรงพยาบาล ที่สำคัญคือไม่ทิ้งรอยแผลเป็น เนื่องจากเทคนิคนี้จะใช้อุปกรณ์ในการเจาะที่มีขนาดเล็กมากแล้วนำเซลล์รากผมออกมาปลูกถ่าย เพื่อให้ได้แนวไรผมที่ต้องการ เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังจากที่ทำเสร็จ ใช้ระยะเวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟที่นำมาปลูกถ่าย วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้าน ที่ไม่ต้องการใช้เวลาในการพักฟื้นเป็นอย่างมาก เทคนิคนี้จะเห็นถึงความหนาแน่นของเส้นผมที่เกิดขึ้นมาใหม่ โดยทั่วไปใช้เวลาเห็นผลลัพธ์เต็มที่ประมาณ 6-10 เดือน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองการรักษาของแต่ละเคส

การปลูกผมเทคนิค FUT (Follicular Unit Transplantation) คือ…

สำหรับเทคนิคการปลูกผมแบบ FUT นั้น จะคล้าย ๆ กับการเทคนิค FUE คือเป็นการปลูกถ่ายเซลล์รากผมบริเวณท้ายทอยเช่นเดียวกัน (เนื่องจากเป็นบริเวณที่รากผมแข็งแรงที่สุดของศีรษะ) แต่จะแตกต่างกันตรงที่เทคนิค FUT จะดำเนินการปลูกถ่ายด้วยการผ่าตัด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาสลบแต่ใช้ยาชาเพื่อลดความเจ็บระหว่างการผ่าตัดแทน ซึ่งอุปกรณ์หลัก ๆ ที่ใช้แบ่งรากผม คือ กล้องจุลทรรศน์ นั่นเอง ซึ่งผู้เข้ารับบริการสามารถสบายใจได้ว่าจะมีความปลอดภัยสูงและสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความชำนาญของแพทย์ด้วย

เทคนิค FUE และ FUT มีข้อดี-ข้อจำกัดแตกต่างกันอย่างไร แต่ละเทคนิคเหมาะกับใครบ้าง?

หลังจากทราบกันไปแล้วว่าแต่ละเทคนิคมีแนวทางและขั้นตอนการรักษาอย่างไร เราก็มาเปรียบเทีบถึงข้อดี-ข้อจำกัดของทั้ง 2 เทคนิคนี้กันดูดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

เทคนิค FUE มี ข้อดี-ข้อจำกัด อย่างไรบ้าง

สามารถแบ่งข้อดี-ข้อจำกัดต่าง ๆ ได้ดังนี้

ข้อดี

  • เนื่องจากเทคนิคนี้มักมีเครื่องมือพิเศษในการใช้ปลูกถ่ายเซลล์รากผม ดังนั้น จึงไม่ทำให้ผู้เข้ารับบริการมีอาการเจ็บ ตึง เลือดออกมากที่ศีรษะ
  • แผลหายได้เอง / หายไว
  • เส้นผมที่งอกขึ้นมาจากการทำเทคนิคนี้มีโอกาสที่จะแข็งแรงกว่าเดิม ไม่ร่วงง่าย และมีอัตราการงอกขึ้นใหม่ได้เองสูงตามไปด้วย
  • สามารถออกแบบลักษณะของการปลูกผมให้เหมาะกับใบหน้าของผู้เข้ารับบริการของแต่ละคนได้

ข้อจำกัด

  • ไม่มีผมใหม่ขึ้นมาแทนที่ ณ บริเวณที่มีการเจาะหรือแยกเซลล์รากผมไปใช้แล้ว
  • ต้องมีการจำกัดจำนวนกอผมในการทำแต่ละครั้งเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อผมด้านหลังของศีรษะให้บางลง
  • มีโอกาสที่เซลล์รากผมที่ได้อาจเสียหายและได้ไม่ถึงจำนวนที่ควร ซึ่งในข้อนี้ผู้เข้ารับบริการต้องพิจารณาเลือกคลินิคและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ดี เพราะข้อจำกัดข้อนี้ขึ้นอยู่กับความชำนาญของแพทย์เป็นหลักนั่นเอง

FUE เหมาะกับใครบ้าง?

  • ผู้มีภาวะผมร่วงเยอะผิดปกติ ผมบาง ศีรษะล้าน
  • ผู้ที่ต้องการปรับให้เค้าโครงหน้าดีขึ้นด้วยการปลูกผม ซึ่งอาจช่วยให้โครงหน้าดูแคบหรือเล็กลงได้
  • ผู้ที่มีแนวผมที่ร่นขึ้นสูง หรือหน้าผากกว้าง
  • ผู้ที่มีเวลาน้อย ไม่ต้องการพักฟื้นนาน

อย่างไรก็ตาม  จากขั้นตอนการรักษาและข้อดีของเทคนิค FUE ก็สามารถทำให้ผู้ที่กำลังตัดสินใจเข้ารับบริการเห็นได้แล้วว่า นอกจากหลังการรักษาแบบ FUE จะมีผลข้างเคียงจากการผ่าตัดน้อยแล้ว ผลลัพธ์ของเส้นผมหลักการปลูกถ่ายก็ดีเกินคาดด้วยเพราะเซลล์รากผมที่ได้มามีความแข็งแรง ส่งผลให้เส้นผมที่ขึ้นมาใหม่ก็จะมีความแข็งแรงตามมาด้วย และแม้จะร่วงไปตามธรรมชาติ แต่ก็จะร่วงยากกว่าเดิมนั่นเอง

เทคนิค FUT มี ข้อดี-ข้อจำกัด อย่างไรบ้าง

สามารถแบ่งข้อดี-ข้อจำกัดต่าง ๆ ได้ดังนี้

ข้อดี

  • เก็บกราฟผมในบริเวณที่ดีและปลอดภัยที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบต่อเส้นผมบริเวณอื่น
  • จำนวนครั้งในการเก็บกราฟผมสามารถทำได้หลายครั้งตราบใดที่หนังศีรษะยากไม่มีอาการเจ็บหรือตึง รวมถึงจำนวนกราฟกอผมก็สามารถเก็บได้เยอะเช่นเดียวกัน *ซึ่งแต่ละคนจะไม่เท่ากันเพราะขึ้นอยู่กับความหนาของเส้นผมของแต่ละคนนั่นเอง*

ข้อจำกัด

  • เนื่องจากเทคนิค FUT จะมีขั้นตอนในการย้ายเซลล์รากผมที่อาจทิ้งรอยแผลไว้บริเวณที่มีการเคลื่อนย้าย ดังนั้นผู้เข้ารับบริการ (โดยเฉพาะคุณผู้ชาย) จึงอาจจะต้องไว้ผมยาวกว่าปกติเพื่อปิดแผลเป็นจากการรักษา
  • แผลเป็นจากการรักษามีโอกาสที่จะมีลักษณะแผลที่กว้างขึ้นในทุก ๆ ครั้งที่กลับไปรักษาใหม่ ดังนั้น ผู้เข้ารับบริการอาจจะต้องพิจารณาและถามตนเองให้แน่ใจว่าสะดวกใจในเรื่องของแผลเป็นหรือไม่

FUT เหมาะกับใครบ้าง?

  • ผู้ที่มีความอ่อนไหวในเรื่องความยาวของผมที่จะต้องถูกตัดออกเพื่อการรักษา หากผู้ใดที่ไม่ต้องการโกนหรือถูกตัดผมออกให้เหลือสั้นมากก็สามารถใช้เทคนิคนี้ได้ ซึ่งบริเวณที่มักถูกนำผมออกมักจะอยู่ที่บริเวณท้ายทอยเป็นส่วนใหญ่ (จากที่กล่าวไปว่าเซลล์รากผมส่วนนี้แข็งแรงมากที่สุด)
  • เนื่องจาก FUT มีขั้นตอนการผ่าตัดที่จริงจังกว่าเทคนิค FUE และมีแผลเป็น ดังนั้น วิธีนี้จึงเหมาะกับผู้ที่มีเวลาพักฟื้นมากกว่า
  • เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาทั่วไปเช่นเดียวกับเทคนิค FUE นั่นคือ ผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้าน ผมบาง ผมร่วง เป็นต้น

ข้อสรุปของเทคนิคนี้ จุดเด่น ๆ ที่เป็นข้อดีก็สามารถเห็นได้ชัด แต่ที่เป็นข้อจำกัดก็มีให้ต้องพิจารณาเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี ในเรื่องของระยะเวลาของการผ่าตัดจะมากหรือน้อยก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนกอผมที่ถูกนำมาปลูกใหม่ ซึ่งระยะเริ่มต้นหากกอผมที่ถูกนำมาปลูกใหม่ไม่มากก็จะอยู่ที่ 2-3 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ส่วนระยะเวลาในการเห็นผลจะเริ่มต้นที่ 3 เดือนเป็นต้นไป แต่จะไม่เกิน 8 เดือน ซึ่งผู้เข้ารับบริการสามารถสังเกตตนเองได้ ทั้งนี้ หากในระหว่างพักฟื้นก็ควรดูแลตนเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดด้วย เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงหลังการผ่าตัดตามมาในภายหลัง

FUE หรือ FUT แบบไหนดีกว่ากัน?

จากข้อมูลที่ได้กล่าวมาทั้งหมด ผู้อ่านจะสามารถสังเกตได้ว่าเทคนิคการปลูกผมทั้ง 2 วิธีนี้ไม่ว่าจะเป็น FUE หรือ FUT เองก็ตาม ก็ต่างมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ซึ่งหลัก ๆ เลยจะขึ้นอยู่กับผู้บริการมากกว่าว่าจะมีเวลาสำหรับการพักฟื้นหลังเข้ารับบริการได้มากน้อยแค่ไหน เพราะหากสังเกตให้ดี ทั้ง 2 เทคนิคนั้น มี Concept ในการรักษาที่ไม่ต่างกันมากนัก รวมถึงกลุ่มผู้ที่มีปัญหาที่ต้องเข้ารับบริการจากเทคนิคนั้น ๆ ด้วยเช่นกัน ดังนั้น คำตอบที่จะบอกว่าแบบไหนดีกว่ากันคงเป็นไปได้ยาก เพราะท้ายที่สุดจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้เข้ารับบริการและการพิจารณาของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้วย

เทคนิค FUE จาก Vital Glow Clinic มีอะไรบ้าง?

นอกจากเทคนิค FUE แบบดั้งเดิมแล้ว ทาง Vital Glow Clinic ของเรานั้นก็มีบริการจากวิธีอื่น ๆ ที่พัฒนามาจากเทคนิคการปลูกผมแบบ FUE ด้วยเช่นเดียวกัน ประกอบด้วย…

  • เทคนิค Advance- FUE

การปลูกผมแบบ Advance-FUE เป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้นจากเทคนิค FUE เดิม ที่ใช้อุปกรณ์ในการเจาะที่มีขนาดเล็กกว่ามาก ขั้นตอนที่ทำเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาคือความหนาแน่นที่มากกว่า ได้แนวไรผมที่ชิดมากกว่า เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังจากทำเสร็จ ส่วนระยะเวลาที่ใช้นั้นจะมากกว่าแบบ FUE ประมาณ 1-2 ชั่วโมง เทคนิคนี้ใช้ทักษะที่สูงกว่า และขั้นตอนที่ซับซ้อนขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ความหนาแน่นมากขึ้น ที่สำคัญยังคงไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นมากเช่นกัน
เทคนิคนี้จะได้ความหนาแน่นแบบ Hi Density เรียกได้ว่าเห็นความแตกต่างจากเทคนิค FUE ได้อย่างชัดเจน ใช้เวลาในการเห็นผลลัพธ์ประมาณ 6-10 เดือน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองการรักษาของแต่ละเคส

  • เทคนิค DHI (Direct Hair Implantation)

การปลูกผมแบบ DHI เป็นวิธีการปลูกผมที่ได้รับความนิยมสูงในขณะนี้ โดยแพทย์จะใช้กราฟ หรือกอผม 1-4 เส้นบริเวณท้ายทอย โดยใช้เครื่องมือ DHI Implanter กราฟในการดึงออกมาจากท้ายทอยและกราฟที่ปักออกไปสามารถทำได้ในครั้งเดียว ไม่ต้องเสียเวลาทำแยกสองขั้นตอนเหมือนวิธี FUE ส่งผลให้ลดปัญหารากผม และเซลล์รากผมเกิดความเสียหายระหว่างปลูกผมได้เป็นอย่างดีรวมถึงผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ดูกลมกลืนไปทั้งศีรษะ เนื่องจากเครื่องมือดังกล่าวจะสามารถควบคุมทิศทาง ความลึก และมุมองศาในการปลูกได้แม่นยำ โดยทั่วไปอาจจะใช้เทคนิคนี้ร่วมกับการปลูกผมแบบ FUE Advance เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม และเหมาะกับแต่ละบุคคลได้อย่างดี เทคนิคนี้จะได้ความหนาแน่นแบบ Hi Density โดยที่ได้เรื่องแนวไรผมที่สวยงาม เน้นความเป็นธรรมชาติ และมาตรฐานที่สูงขึ้น

  • เทคนิค NHI (Navamin Hair Implant)

การปลูกผมแบบ NHI เป็นเทคนิคเดียวในประเทศ ที่เป็นวิธีการเฉพาะของโรงพยาบาลนวมินทร์ 9 ที่ได้รับมาตรฐานจากองค์กรระดับโลก JCI โดยเทคนิคนี้จะคล้ายคลึงกับการปลูกผมแบบ DHI แต่จะใช้เทคนิคการเจาะ และการปลูกถ่ายจากประเทศเกาหลี รวมถึงเครื่องมือ Implanter ระดับ Hi-End ซึ่งนอกจากจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในแง่ของ เซลล์รากผมที่ไม่บอบช้ำ มีอัตราการรอดหลังการปลูกถ่ายสูงที่สุด ยังได้ในส่วนของการดูแลหลังการปลูกที่ง่ายกว่า แผลหายเร็วกว่ารวมถึงผลลัพธ์ที่แน่นอนกว่าแบบเห็นได้ชัดเจน เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ปราณีตที่สุด ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดูแลง่ายที่สุด และมีมาตรฐานสูงที่สุดในบรรดาการปลูกด้วยเทคนิคอื่น ๆ โดยแพทย์ที่ทำการปลูกผมด้วยเทคนิคนี้ จะต้องมีความเข้าใจในความเป็นธรรมชาติของแนวไรผมของคนไข้ และการวาดแนวกรอบหน้าให้เหมาะสม และใส่ใจในทุก ๆ ขั้นตอนการปลูกทุกรายละเอียดอย่างแท้จริง เทคนิคนี้จะได้ความหนาแน่นแบบ Ultra Hi Density ได้แนวไรผมที่สวยงามมากที่สุด เป็นธรรมชาติมากที่สุด และได้มาตรฐานที่สูงที่สุดอีกด้วย

ท้ายที่สุด เชื่อว่าผู้ที่กำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับหนังศีรษะและเส้นผมทุกคนก็ต่างต้องการหาวิธีการรักษาภาวะต่าง ๆ ที่ตนเองพบเจออยู่ให้ดีขึ้่นด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งจากที่กล่าวไปแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการรักษาปัญหากลุ่มนี้ถูกแบ่งออกได้อย่างหลากหลาย ซึ่งนอกจากการรักษาด้วยการปลูกผมแบบถาวรแล้ว ก็ยังมีการรักษาแบบไม่จำเป็นต้องเข้าผ่าตัดด้วย สิ่งสำคัญคือผู้ที่กำลังตัดสินใจเข้ารับบริการต้องพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยหาวิธีที่ถูกต้องและเหมาะกับระดับอาการของตนเองมากที่สุด เพื่อผลลัพธ์ที่คาดหวังนั่นเอง

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

บริการปลูกผม จาก Vital Glow Clinic

รีวิวจากผู้เข้ารับบริการปลูกผมจาก Vital Glow Clinic

กราฟผมคืออะไร กราฟผมมีกี่ชนิด และโดยทั่วไปกราฟผมจะมีผมกี่เส้น



ทำไมต้องปลูกผมที่ The PRIME Medical Center by NAVAMIN9 HOSPITAL

เพราะปลูกผมในโรงพยาบาล ซึ่งโรงพยาบาลนวมินทร์9 ได้รับรองมาตรฐานระดับสากล JCI, USA โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกผม และบุคลากรทางการแพทย์ด้านเส้นผมและหนังศีรษะ ดังนั้น ผู้เข้ารับบริการจึงสามารถมั่นใจในความปลอดภัยเพราะทำในโรงพยาบาลที่ได้รับรองมาตรฐานสากลระบบโลก JCI ประเทศสหรัฐอเมริกาได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ด้วยความชำนาญจากแพทย์ดังที่ได้กล่าวไป จึงส่งผลให้มีผลข้างเคียงน้อยตามไปด้วย ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผลเป็น ไม่ต้องนอนค้างโรงพยาบาล พร้อมทั้งการรับประกัน 1 ปีเต็ม ติดตามอาการและดูแลต่อเนื่องหลังการปลูกผมไม่มีค่าใช้จ่าย ปลูกไม่ขึ้น ปลูกให้ใหม่ไม่มีค่าใช้จ่าย ทำเพียงครั้งเดียว ไม่ต้องทำซ้ำ อยู่กับเราไปตลอด เส้นผมขึ้นใหม่เป็นเส้นผมจริงตามธรรมชาติ ที่แข็งแรงเนื่องจากเป็นเส้นผมจากบริเวณท้ายทอยซึ่งเป็นเส้นผมที่ไม่ได้รับผลกระทบจากฮอร์โมน หลุดร่วงช้ากว่าวงจรปกติ บริการ ปลูกผม เส้นผมและหนังศีรษะ The PRIME Medical Center by NAVAMIN9 HOSPITAL

1). The PRIME สาขา โรงพยาบาลนวมินทร์9
Facebook: The PRIME Medical Center โรงพยาบาลนวมินทร์ 9 (www.facebook.com/theprimenavamin9)
Instagram: the.prime.medical (www.instagram.com/the.prime.medical)
Tiktok: the.prime.medical (www.tiktok.com/@the.prime.medical)
TEL: 095-750-5555
Line OA: @the.prime (https://lin.ee/JjTrppd)

2). The PRIME พระโขนง
Facebook: The PRIME Medical Center สาขา summer hill พระโขนง (www.facebook.com/the.prime.summerhill)
Instagram: the.prime.sukhumvit (www.instagram.com/the.prime.sukhumvit)
Tiktok: the.prime.medical (www.tiktok.com/@the.prime.medical)
TEL: 082-479-4666
Line OA: @the.prime (https://lin.ee/JjTrppd)